ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)
จัดทำโดย
นายอดิศร ไชยเทพ
โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)
จัดทำโดย
นายอดิศร ไชยเทพ
โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)
สภาพปัจจุบัน
บ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มห้วยเหล็กเปียกซึ่งเป็นลำห้วยที่มีลักษณะคด งอ มีพื้นที่สูงเป็นดอนสลับกับที่ลุ่มต่ำลำห้วย อยู่ห่างจากอำเภอคำตากล้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 กิโลเมตร
มีอาณาเขตดังนี้
ทิศเหนือติดกับชุมชนพอกใหญ่ ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร
ทิศตะวันออกติดกับบ้านดงแสนสุข ตำบลคำตากล้า อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร
ทิศตะวันตกติดกับบ้านดงป่าแดง ตำบลกุดเรือคำ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กับบ้านสรษี ตำบลบ่อแก้ว อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร
ทิศใต้ติดกับบ้านสันติสุข- สระแก้ว ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร
ลักษณะทางสังคม
เนื่องจากประชากรโดยส่วนใหญ่มีการอพยพย้ายถิ่นฐานมาจากหลายพื้นที่ หลายจังหวัด จึงมีความแตกต่างกันทั้งในด้านประเพณีและวัฒนธรรม แต่ก็มีการนำมาผสมกลมกลืนกัน มีศาลหลักบ้านซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่นับถือของประชาชน มีประเพณีที่ยืดถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกัน ได้แก่ การจัดงานศพ พิธีแต่งงาน การทำบุญประทายข้าวเปลือก บุญพระเวสสันดร การผูกข้อต่อแขน และวันสำคัญทางศาสนา
ปัจจุบัน มีการแยกการปกครองออกเป็นสองหมู่บ้าน (ข้อมูลจาก รพ.สต.หนองแสง 28 กันยายน 2554) คือ
1. บ้านหนองแสง หมู่ที่ 5 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร มีประชากร รวมทั้งสิ้น 1,168 คน เป็นชาย 579 คน เป็นหญิง 589 คน ผู้ใหญ่บ้าน คือ นายไสว แสงจันทร์
2. บ้านดงอีบ่าง หมู่ที่ 9 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร มีประชากร รวมทั้งสิ้น 758 คน เป็นชาย 359 คน เป็นหญิง 399 คน ผู้ใหญ่บ้าน คือ นายสุพล ผิวเหลือง
ประชากรในชุมชนใช้ภาษา ภาษาถิ่นลาวอีสาน การนับถือศาสนาส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาร้อยละ 99 และศาสนาคริสต์ ร้อยละ 1 มีวัด 3 แห่ง ได้แก่ วัดแสงมณีวนาราม วัดดงสามัคคีธรรม และวัดป่าเจริญชัย โบสถ์คริสต์ 1 แห่ง มีโรงเรียน 1 แห่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสให้บริการทั้ง 2 หมู่บ้าน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1 แห่ง
ชุมชนเป็นชุมชนเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาปลูกข้าว ทำสวนยางพารา รับจ้างทั่วไปและค้าขาย มีแหล่งน้ำที่สำคัญในเขตพื้นที่บ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) ใช้ประโยชน์ในการอุปโภค บริโภคและเพื่อการเกษตร ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยเชือก ฝายทดน้ำคึกฤทธิ์ ลำห้วยเหล็กเปียก ห้วยคำปลาขาว เป็นต้น
ความเป็นมาและการตั้งหมู่บ้าน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในประวัติและความเป็นมาอย่างชัดเจน จึงแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้
ยุคที่ 1 กำเนิดหมู่บ้าน (พ.ศ.2498-2515)
ยุคที่ 2 การเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การพัฒนา (พ.ศ.2516-2530)
ยุคที่ 3 วิถีชีวิตและความเจริญ (พ.ศ. 2531-ปัจจุบัน)
ยุคที่ 1 กำเนิดหมู่บ้าน (พ.ศ. 2498-2515)
กลุ่มบ้านวังไคร้
ลำน้ำสายหนึ่งซึ่งทอดยาวคดโค้งซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากที่สูงบริเวณ “ดงป่าแดง” ไหลลงสู่ที่ต่ำทอดตัวยาวคดเคี้ยว โค้งงอไปตามร่องน้ำ ไหลลอดตัวไปตามผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้ใหญ่น้อยและสูงต่ำ ไม้พุ่มและเถาวัลย์เป็นเครือปกคลุมกอดก่ายไปตามยอดไม้นานาพันธุ์ มีแสงดวงอาทิตย์ลอดผ่านยอดไม้เพียงเล็กน้อย มีร่องน้ำน้อยใหญ่ไหลรินลงมาร่วมตัวกันเป็นลำห้วยทอดยาวมาทางทิศเหนือจนถึงบริเวณป่า “ดงอีบ่าง” เรียกกันว่า “ห้วยเหล็กเปียก” ล้ำน้ำมีลักษณะค่อนข้างลึกมีลักษณะคดเคี้ยว เลียวลดบ้างก็ไหลลัดขาดกันเป็นวังน้ำมีชื่อเรียกกันเป็นวังไป เช่น วังหิน วังไคร้ วังช้าง วังน้ำจาง วังคร้า มีการตั้งบ้านเรือนกลุ่มแรกบริเวณวังไคร้ (หลังวัดป่าริมห้วยเหล็กเปียกหางฝายคึกฤทธิ์และนาคุณแม่ทับ ไทยโคกสูงในปัจจุบัน)
พ่อสุ่น พรมจรรย์ อายุ 89 ปี เล่าให้ฟังว่า “.....เดิมครอบครัวของตนเองได้ย้ายที่ทำกินมาเรื่อย ๆ จนได้มาอยู่บริเวณบ้านวังไคร้จากการแนะนำของพ่อใหญ่เชียงแพง ศรีเทพ ราว พ.ศ. 2498 บิดาคือพ่อสอน พรมจรรย์และครอบครัว มาบุกป่าถางดงปลูกบ้านเรือนอยู่ริมห้วย การตั้งบ้านเรือนในสมัยนั้น จะปลูกบ้านไม้กระต๊อบ ยกไต้ถุนสูงจากพื้นดิน เพื่อป้องกันสัตว์ป่ามาทำร้ายเวลากลางคืน และจะมีการเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ อยู่ไต้ถุนเพื่อไว้ใช้บริโภค และจะต่อเติมให้มีขนาดใหญ่ขึ้นตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว ต่อจากนั้น 2-3 ปีต่อมาครอบครัวของพ่อปอย ศิริสมและครอบครัวแม่ใส ศิริสมก็เข้ามาสมทบ และจะตั้งอยู่ห่างกันแต่สามารถมองเห็นกันได้ และให้ความช่วยเหลือกันได้ยามจำเป็น หลังจากมาอยู่บ้านวังไคร้ได้ประมาณ 7 ปี (พ.ศ.2505) ครอบครัวแม่บัวจึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ขณะนั้นรวมลูกหลานมีคนอาศัยอยู่ในบ้านตนเองราว 20 คนได้
ลักษณะความเป็นอยู่ยากลำบาก ไม่มีไฟฟ้า ดวงอาทิตย์พ้นยอดไม้คือมืดมองไม่เห็นอะไรต้องใช้กระบองจุดไฟ หรือไม่ก็ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด และใช้ฟืนมาก่อไฟให้ลุกเพื่อไล่ยุง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะอาศัยยาสมุนไพร ยารากไม้จากพ่อปอย ศิริสมที่เป็นหมอยา และหมอเป่า
แม่บัว หมีคำ(นามสกุลเดิมศิริสม) อายุ 66 ปีให้ข้อมูลว่า “บ้านเดิมตนเองอยู่บริเวณสถานีวิทยุ 909 สกลนคร หลังจากแม่เสียชีวิตตนเองพร้อมกับพี่น้องรวม 4 คน ย้ายเข้ามาบ้านวังไคร้ตอนอายุ 17 ปี ประมาณ พ.ศ. 2505 เพื่อมาอาศัยอยู่กับพ่อสอน พรมจรรย์ ซึ่งในขณะนั้นบริเวณบ้านวังไคร้มีบ้านซึ่งปลูกเป็นกระต๊อบ(กระท่อม)อยู่ห่างกัน 3 หลัง มีคนอาศัยอยู่เพียง 3 ครอบครัว คือ
1. ครอบครัวพ่อสอน ราวินิจ กับคุณแม่อ่อนสี พรมจรรย์ มีลูกติดเมีย จำนวน 5 คน ได้แก่ นายใบ ไม่ทราบนามสกุลเป็นลูกติดคนละพ่อกับอีก 4 คน คือ นายสุ่น พรมจรรย์ นายบุญ(สมบูรณ์) ราวินิจ นายเชียน ราวินิจ และนายเปี่ยน ราวินิจ (ซึ่งเป็น อ.ส. ที่ถูกยิงตาย บริเวณที่เป็นวัดดงสามัคคีในปัจจุบัน) ต่อมา พ.ศ. 2505 มาเพิ่ม 4 คน คือ นางสาวบัว พรมจรรย์(บัว หมีคำ) นางสาวไล พรมจรรย์ นายชัย พรมจรรย์ และนายอุทัย พรมจรรย์
2. ครอบครัวพ่อปอย ศิริสม กับแม่น้อย ศิริสม มีลูก 4 คน หญิง 2 คน คือ นางบอ ศิริสม กับนางกอ ศิริสม ชาย 2 คน คือ นายพอ ศิริสม กับนายพัน ศิริสม
3. ครอบครัวพ่องัด ศิริสม กับแม่ใส ศิริสม ซึ่งไม่มีลูก
ด้วยบริเวณรอบที่อยู่อาศัยมีสภาพเป็นป่าดงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่า วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพช่วงเช้าหัวหน้าครอบครัวและลูกหลานจะบุกเบิกและแผ้วถางป่าเพื่อไว้ปลูกข้าวไร่ ปลูกถั่ว ปลูกพริก ปลูกปอ ปลูกมัน หลังจากพักกินข้าวเที่ยง ผู้ชายก็จะเข้าป่าพากันไปหาล่าสัตว์ อาวุธที่ใช้ จะเป็นหน้าผา(ปืนผา) กับปืนแก๊บ ผู้หญิงที่ไม่ได้เข้าป่าก็จะเฝ้าไร่คอยไล่สัตว์ป่าที่มาขโมยกินพืชที่ปลูก หรือไม่ก็เอาเศษผ้ามาถูกับก้อนสบู่ไปไปผูกไว้กับกิ่งไม้รอบ ๆ ไร่มัน ไร่ข้าว เพื่อป้องกันสัตว์ประเภทหมูป่าเข้ามากัดกินผลผลิต สัตว์ป่าที่ผู้ชายหามาได้ส่วนใหญ่จะเป็นหมูป่า กวาง ฟาน ไก้ อีเห็น นก บ่าง กระรอก หนู จอนฟอน งู แล้วก็จะนำมาแบ่งปันกัน ถ้าใครเป็นคนยิงหมูป่าได้ก็จะได้แบ่งปันในส่วนที่มากกว่าเพื่อน สัตว์ป่าที่ได้มาก็จะนำมาแปรรูปทำห่อส้ม (แหนม) หรือไม่ก็ย่างไฟหรือตากให้แห้ง วันต่อมาก็จะพากันเก็บใส่ตะกล้าหาบไปแลกข้าว โดยเดินเท้าลัดเลาะไปตามทางเกวียนบ้างก็ไปแลกที่บ้านคำตากล้า บ้างก็เดินผ่านบ้านดอนกอยไปขึ้นรถที่บ้านหนองแวง (บ้านหนองแวง ตำบลหนองแวง อำเภอวานรนิวาสในปัจจุบัน) ถ้าหากผู้ชายไม่ได้สัตว์ป่ามามากพอ ผู้หญิงก็จะเข้าป่าเก็บยอดสาน ยอดเลามาปอกเปลือกเหลือยอด เพื่อนำของไปแลกข้าวทางเมืองวานร (อำเภอวานรนิวาส) ข้าวที่ได้มาก็จะสีเป็นข้าวสารแล้วหาบเข้ามายังบ้านวังไคร้ ในตอนนั้นข้าวสารหมื่นหนึ่ง (12 กิโลกรัม) ทั้งครอบครัวกินได้เป็นเดือน ทั้งนี้เนื่องจากไม่ค่อยได้กิน กินข้าวไม่อร่อยเพราะคนในครอบครัวป่วยเป็นไข้กันบ่อย ยารักษาโรคนอกจากจะได้ยาสมุนไพรในพื้นที่แล้วยังได้ยารักษาไข้มาลาเลียจากเจ้านายที่อยู่ในบ้านคำตากล้าที่มี (เข้าใจว่าคงจะเป็นกำนัน ตำรวจ ทหาร ที่อยู่ในตำบลคำตากล้าตอนนั้น)”
พ.ศ. 2507 นายเหมบ สามีนางสม ศิริสมลูกเขยพ่อปอยกับแม่น้อย ศิริสม ล้มป่วยด้วยไข้ป่าหรือไข้มาลาเลีย รักษาไม่หายเสียชีวิต จึงได้เผาศพและได้ตั้งที่บริเวณที่ป่าตรงนั้นเป็นป่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน
พ่อสุ่น พรมจรรย์เล่าว่า “ ...นายสมบุญ พรมจรรย์ ลูกชายตนเองได้เสียชีวิตหลังจากได้ไปถางป่าบริเวณวังคร้ากลับมาถึงบ้านล้มป่วย กินยาไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ ขี้เยี่ยวไม่ออก ฉีดยาเข้าไปยาก็ไหลกับออกมาหมด เป็นอยู่ 3 วัน ก็เสียชีวิต เชื่อกันว่าบริเวณวังคร้าเป็นที่เข็ด เจ้าที่แรงใครไปทำอะไรที่ไม่ดีจะต้องมีอันเป็นไป.....” ต่อมาจึงได้มอบที่ดินบริเวณนั้นให้เป็นที่วัด(วัดป่าเจริญชัยในปัจจุบัน) แม่บัว หมีคำ เล่าว่า “...ในปีเดียวกันนายอุทัย พรมจรรย์ น้องชายของตนก็ล้มป่วยเป็นไข้มาลาเลียและเสียชีวิตในที่สุด.... ”
แม่บัว หมีคำ เล่าให้ฟังอีกว่า “...ช่วงที่อยู่บ้านวังไคร้นั้น พ.ศ. 2505-2510 ช่วงเย็นจะมีกลุ่มชายไม่ทราบมาจากไหน ประมาณ 7-8 คน สวมเสื้อผ้าชุดชาวบ้านธรรมดา ผ้าขาวม้ามัดเอว ออกมาจากป่าและจะมาพูดคุยกับกลุ่มผู้ชาย มีการร้องลำทำเพลง อยู่จนถึง 2-3 ทุ่มแล้วก็กลับเข้าป่าไป จะกลับเข้ามาในหมู่บ้านประมาณ 9-10 วันมาครั้งหนึ่ง.... ”
พ่อสุ่น พรมจรรย์ เล่าให้ฟังว่า “...ชายกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่จะสวมเสื้อผ้าสีเขียวสีใบไม้ บางคนมีใบไม้ ยอดไม้เหน็บอยู่ตามเสื้อผ้า จะเข้ามาในบ้านวังไคร้ในช่วงเย็น จะเข้ามาที่ละคน คนแรกจะเข้ามาพูดคุยโดยใช้ภาษาอีสานบ้านเรา และสร้างความมั่นใจว่า ไม่ได้มาลักขโมยหรือทำร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่นานก็จะมีชายอีกคนเดินเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ที่มีความแตกต่างในเรื่องการทำมาหากิน และการเอารัดเอาเปรียบจากทางการ และไม่นานก็จะมีชายอีกประมาณ 7-8 คนเข้ามาพูดคุยและสร้างบรรยากาศร้องรำทำเพลง อยู่ประมาณ 2-3 ทุ่ม ก็พากันกลับ แต่มีข้อสังเกต คือขณะที่ชายกลุ่มดังกล่าวนั่งคุยกับคนในหมู่บ้าน จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 10 – 20 คน ตรวจตราเดินไปเดินมาอยู่รอบนอก ซึ่งเข้าใจว่า สหาย คือชายกลุ่มดังกล่าว เพราะเวลาเขาพูดคุยกันจะไม่ใช้ภาษาไทยแต่พูดเหมือนภาษาเจ๊ก ภาษาแกว..... ”
ราว พ.ศ. 2509 กลุ่มบ้านวังไคร้ทั้ง 3 ครอบครัว ได้อพยพโยกย้ายบ้านเรือนเข้ามารวมกับกลุ่มบ้านดงอีบ่าง ทั้งนี้มีสาเหตุ 3 ประการ คือ
1. ความถี่ในการก่อกวนจากคอมมิวนิสต์ที่เรียกกันว่า “กลุ่มสหาย” มีบ่อยขึ้นมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคนในบ้านวังไคร้
2. บริเวณที่ตั้งบ้านเรือนเป็นที่ลุ่มร่องน้ำ ประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยขนของหนีขึ้นที่สูงไม่ทัน
3. นโยบายการรวมกลุ่มเป็นชุมชนของทางภาครัฐ
กลุ่มบ้านดงอีบ่าง
“ดงอีบ่าง” เป็นชื่อที่เรียกกันแผนที่ทางภูมิศาสตร์ของทางการ ที่ได้กำหนดเขตแนวเป็นเขตป่าสงวนเรียกป่าบริเวณนี้ว่า “เขตป่าดงอีบ่าง” ขึ้นอยู่กับเขตอำเภอวานรนิวาส ซึ่งก็มีชื่อเรียกป่าสงวนอื่น ๆ ในเขต อำเภอวานรนิวาสอีกหลายที่ เช่น ดงคำกั้ง ดงอีด่อย ดงส้งเปลือย ดงป่าแดง ฯลฯ เริมแรกจึงยังไม่มีการตั้งชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
พ่อสุ่น พรมจรรย์ เล่าว่า “....ก่อนที่ตนจะย้ายเข้ามาอยู่บริเวณวังไคร้นั้น (พ.ศ.2498) พ่อใหญ่เซียงแพง พ่อใหญ่พรม พ่อใหญ่โง่น ศรีเทพ พร้อมครอบครัวซึ้งได้มาสร้างบ้านเป็นกระต๊อบ ไว้พักอาศัยตอนมาทำไร่ ทำนา ปลูกพริก ถั่ว มีการเทียว-ไปกลับบ้านดอนกอย บ้างก็พากันนอนค้างที่ดงอีบ่าง ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะปลูกอยู่ห่างกันโดยเลือกเอาทำเลที่เป็นร่องน้ำติดกับลำห้วยเล็กเปียกบริเวณดงอีบ่าง
พ.ศ. 2509 มีการก่อกวนจากกลุ่มชายฉกรรจ์ ที่เรียกกันว่าสหายและแต่ละครอบครัวมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย อีกทั้งเจ้าหน้าที่จากทางตำบลคำตากล้าขณะนั้น ได้แก่ กำนัน ตำรวจ และกลุ่มอาสารักษาดินแดน มีนโยบายให้มีการวมกลุ่มกันเป็นชุมชน เพื่อง่ายกับการดูแลและให้ความช่วยเหลือ ครอบครัวของพ่อใหญ่ เซียงแพง พ่อใหญ่พรม พ่อใหญ่โง่น ศรีเทพ จึงตัดสินใจย้ายจากบ้านดอนกอยมาอยู่ที่ดงอีบ่างเป็นการถาวร และมีครอบครัวของพ่อปอย ศิริสม พ่องัด ศิริสม และพ่อสอน ราวินิจ จากบ้านวังไคร้ย้อยเข้ามาสมทบและปลูกบ้านเพิ่มขึ้นอีก 4 ครอบครัวโดยมีครอบครัวของพ่ออ้นกับแม่บัว หมีคำ แยกออกมาจากครอบครัวพ่อสอน ราวินิจ รวมบ้านเรือนในดงอีบ่างขณะนั้นเป็น 7 หลังคาเรือน มีคนรวมกันราว 40 คน
ดังนั้น จึงมีการตั้งเป็นหมู่บ้านฝากของบ้านพอกใหญ่ ซึ่งขณะนั้น นายแก่น เป็นผู้ใหญ่บ้าน และได้มอบหมายให้ นายใบ พรมจรรย์ บิดาของแม่บัว หมีคำ ให้เป็นผู้นำของคนในดงอีบ่าง ต่อมาไม่นาน นายใบสุขภาพไม่ค่อยดีจึงมอบหมายให้พ่องัด ศิริสม เป็นผู้นำต่อ
พ่องัด ศิริสม เป็นผู้นำได้ไม่นาน นายใบพรมจรรย์อดีตผู้นำก็เสียชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เริมมีผู้คนเริมเข้ามาอาศัยที่ป่าบริเวณดงอีบ่างเพิ่มขึ้น เช่น ครอบครัวนายอุดม หมีคำ ครอบครัวนายบุญเลี้ยง นาชัย กลุ่มนายทาลิง นายกลิ่น ศรีเทพมาจากบ้านดอนกอยแต่งงานกับนางสิงห์ ลูกสาวพ่อใหญ่เซียงแพง และมีครอบครัวที่อพยพมาจากจังหวัดมหาสารคาม จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี จึงทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการก่อตั้งวัดแสงมณีวนารามและนิมนต์พระสงค์มาจำพรรษา
พ.ศ. 2510 นายกลิ่น ศรีเทพได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพอกใหญ่ ซึ่งดงอีบ่างยังคงเป็นบ้านสาขาอยู่ ในช่วงที่มีคนจากต่างถิ่นอพยพเข้ามาดงอีบ่างจำนวนมาก จึงทำให้หารใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารจากภาษาถิ่นเดิม คือภาษาไทย้อ ภาษาพูด สะกดด้วยสระโอ๊ะ สระเอ๊ะ ฯลฯ เรียกพ่อว่า “โพ๊ะ” เรียกแม่ว่า “เบ๊ะ” คำว่า “ไปไหน” จะใช้คำว่า “ไปผะเหลอ” เริ่มลบเลือนหายไป และมีการใช้ภาษาลาวอีสานมาแทนที่ภาษาเดิม วัฒนธรรมภาษาพูดจึงเปลี่ยนไป
ในปีเดียวกันนายกลิ่น ศรีเทพ ได้รวมกลุ่มชาวบ้านทั้งจากพอกใหญ่ และในดงอีบ่างร่วมทำบุญกุ้มข้าว (บุญประทายข้าวเปลือก)และได้เชิญหมอธรรม มาทำบุญเบิกบ้านและมีการตั้งศาลหลักบ้านขึ้น เพื่อเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจ
พ.ศ. 2512 ได้มีการตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านหนองแสง” โดยมีการตั้งชื่อตามชื่อแหล่งน้ำที่มีความสำคัญกับหมู่บ้าน คือ หนองแสง ซึ่งสภาพเป็นหนองน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนักตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เป็นที่ดื่มกินน้ำของสัตว์ป่านานาชนิด และมีต้นแสงขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ริมหนองเพียงต้นเดียว และมีต้นไม้น้อยใหญ่อยู่รอบหนอง
เหตุที่ไม่ได้ตั้งชื่อ “ดงอีบ่าง” เป็นชื่อหมู่บ้านในสมัยนั้นเนื่องจากผู้นำมีความเห็นว่าไม่ควรใช้คำว่า “ดงอีบ่าง” จึงตั้งชื่อเป็น “หนองแสง” แทน แต่บุคคลทั่ว ๆ ไปก็ยังจดจำและเข้าใจในชื่อเดิม และเรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่าอย่างติดปากว่า “บ้านดงอีบ่าง” อยู่เช่นเดิม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในภาษาเขียน จึงใช้ชื่อบ้านหนองแสง (ดงอีบ่าง)
พ.ศ. 2513 นายกลิ่น ศรีเทพได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)และแต่งตั้งให้นายสมใจ ศรีเทพซึ่งเป็นลูกชาย เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ต่อมามีกลุ่มคนจากหลายพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคอีสานได้ย้ายถิ่นเข้ามาหาที่ทำกินเช่น ครอบครัวของนายอุดม หมีคำ ที่ดินมีการขายเปลี่ยนมือและเปลี่ยนเจ้าของจำนวนมากชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น วีถีชีวิตยังคงมีการแผ้วถางป่าทำไร่เลื่อนลอย ทำนา ทำไร่ปอ ปลูกมันสำปะหลัง อุปกรณ์ทำมาหากินยังคงใช้จอบ เสียม มีด พร้า ใช้ความไถนา ใช้วัวทียมเกวียน มีการปลูกฝ้ายผลิต ดีด ทอผ้าเป็นผืนและตัดเย็บเสื้อผ้าใช้เอง ประชาชนมีความเชื่อเรื่องผี เรื่องปอบ รักษาโดยใช้หมอธรรม หมอยา คือพ่อปาน สรภูมิ ทำคลอดโดยใช้หมอตำแย คือแม่ลุน ชุมพล มีเฒ่าจ้ำประจำหมู่บ้าน คือพ่อปอย ศิริชัย คอยให้ความช่วยเหลือในการแต่งแก้บูชา เจ้าที่เจ้าทางและศาลหลักบ้าน
การดำนา เกี่ยวข้าว ใช้วิธีการช่วยเหลือกันแบบลงแขก ช่วยเหลือแบ่งปันกันกิน ใช้ครกกระเดื่องตำข้าว กระด้งฝัดเอาแลบออกเหลือเป็นข้าวสาร มีการนำข้าวเหนียวมาหมักเป็นสาโท ไม่มีเหล้าภาษี อาหารป่า ปู ปลา กบ เขียดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดไต้หากินได้ใกล้บ้าน ในหมู่บ้านไม่มีโรงเรียนที่จะอบรมสั่งสอนบุตรหลานบางครอบครัวต้องส่งบุตรหลานให้ไปเรียนที่อื่นหรือกลับไปเรียนยังบ้านเดิม หรือบ้านญาติพี่น้อง ตามแต่ความสามารถที่จะส่งเสียบุตรหลานได้ บางคนก็ส่งบุตรหลานไปบวชเรียนกับพระครูบาอาจารย์ตามวัดที่เปิดการเรียนสอน จนถึง พ.ศ. 2516
ยุคที่ 2 การเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การพัฒนา (พ.ศ.2516-2530)
พ.ศ. 2516 มีการตัดถนน กรป.กลาง ผ่านเข้ามายังบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) โดยใช้เส้นทางเกวียนเป็นเส้นทางหลัก จึงทำให้มีการขยายตัวของบ้านเรือนอย่างรวดเร็วจนมีมากกว่า 100 หลังคาเรือน พ่อใหญ่เคนได้นำโรงสีข้าวเครื่องแรก แบบใช้เครื่องยนต์น้ำมัน มาให้บริการโดยคิดหาบละ 50 สตางค์จนถึง 1 บาท
พ.ศ. 2517 นายใบ ริษดำ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านหนองแสง (ดงอีบ่าง) คนที่ 2 ต่อจากนายกลิ่น ศรีเทพ
โรงเรียนบ้านหนองแสง ได้ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2517 ผู้ก่อตั้งคือ นายสุพจน์ ไชยเชษฐ์ นายอำเภอวานรนิวาส ใช้ศาลาวัดแสงมณีวนารามเป็นสถานที่จัดการเรียนการสอน เปิดทำการเรียนการสอนประถมศึกษาปีที่ 1 – 4 มีนายถวิล ศรีสุราช เป็นครูใหญ่
นายสมจิต แป่มจำนัก พนักงานสุขภาพชุมชน รพ.สต.หนองแสง ให้ข้อมูลว่า “....มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นที่ศาลาวัดแสงมณีวนาราม มีสภาพเป็นศาลาวัดหลังเดียว ศาลาโล่งไม่มีฝา ใช้แผ่นไม้กระดานดำ กั้นเป็นห้องเรียน นักเรียนรุ่นแรกจะเป็นชุดนักเรียนหลากสี บางคนไม่มีแม้แต้รองเท้าแตะ นักเรียนจะมีความเคารพและเชื่อฟังครูมาก..... โดยมีครูคนแรกที่เข้ามาจัดการเรียนการสอน คือ นายถวิล ศรีสุราช สมัยนั้นคุณครูจะเดินทางมาโรงเรียนโดยจักรยานสองล้อ ไม่มีบังโคลน ห้อยรองเท้าหนังไว้กับตระแกงด้านหลัง.....เป็นการแสดงถึงความยากลำบากในการจัดการศึกษาในหมู่บ้านสมัยนั้น....” ต่อมามีบุตรหลานได้มาศึกษาเล่าเรียนจำนวนมากขึ้น สถานที่เริ่มคับแคบ ไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดการเรียนการสอน
พ.ศ. 2518 การขยายตัวของหมู่บ้านยังมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยังมีกลุ่มคนย้ายถิ่นเข้ามาอีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มนายหล่อ ผิวเหลืองย้ายมาจากบ้านดอนกอย กลุ่มของนายค่าย ล่ามแขก ย้ายมาจากจังหวัดหนองบัวลำภู นอกจากนั้นยังมีกลุ่มที่ย้ายมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครราชสีมา มีการซื้อขายที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและที่ทำกิน จนราคาที่ดินเริ่มสูงขึ้น กลุ่มนายเลี้ยง นาชัยและนายคำ วิชาราช ได้ย้ายออกไปอยู่ที่นาและได้แยกตั้งหมู่บ้านใหม่ คือ บ้านสันติสุข
นายบุญถม พลแสน ได้รวบรวมกลุ่มหนุ่มสาวทำวงดนตรีหมอลำพื้นบ้าน มีดนตรี พิณ แคน ฉิ่ง ฉับ กลับ กลอง ออกแสดงตามงานบุญในท้องถิ่น
พ.ศ. 2519 นายโสภา แป่มจำนัก พระเอกหมอลำ ได้จัดงานบวช จึงมีญาติพี่น้องจากจังหวัดมหาสารคาม มาร่วมงานบวช และได้นำบั้งไฟทำเอง มาทำการแข่งขันกันเองในหมู่เพื่อน เพื่อเป็นการฉลองงานบวช จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการแข่งขันบั้งไฟหรือบุญบั้งไฟของบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) จนถึงปัจจุบัน
นายปาน แก้วเลื่อน ได้บริจาคที่ดินของตนเองเพื่อ สร้างโรงเรียนจำนวน 9 ไร่ 2 งาน 63 ตารางวา ให้ก่อสร้างอาคารเรียน จำนวน 1 หลัง มีนายบรรจง ท้าวเพชรเป็นครูใหญ่ โดยตั้งชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนบ้านหนองแสง” ซึ่งได้เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา
พ.ศ. 2520 นายสีทา ประสมศรี ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 3 ต่อจากนายใบ ริษดำ และมีการทำบุญหาเงิน มีการก่อสร้างศาลากลางเปรียญวัดแสงมณีวนาราม
นายค่าย ล่ามแขก อายุ 71 ปี นายบุญถม มุริจันทร์ อายุ 73 ปี เล่าให้ฟังว่า “...เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญทางการเมืองการปกครองต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ตุลาคม 2519 คอมมิวนิสต์มาก่อกวนและสร้างความไม่สงบชาวบ้าน มีการต่อสู้กันด้วยอาวุธปืน บางคนต้องคอยเอาตัวรอดจากผู้ก่อความไม่สงบบางคนก็เป็นสายให้กับตำรวจ บ้านหนองแสงดงอีบ่างมีสภาพเป็นเหมือนที่ซ่อนตัวหรือทางผ่านของเสือ เป็นยุคคอมมิวนิสต์ออกจากป่าเข้าสู่เมือง และเริ่มมีการแข่งขันทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจการเป็นผู้นำ ถึงขนาดใช้ความรุนแรงตัดสิน จนบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ว่าได้....”
ปี พ.ศ. 2521 แบ่งการปกครอง ตำบลคำตากล้า เป็นกิ่งอำเภอคำตากล้า พื้นที่บ้านหนองแสง (ดงอีบ่าง) ยังคงมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนราษฎรอยู่ไม่ขาด เช่น โรคท้องร่วง โรคตามฤดูกาล ไข้รากสาด และไข้มาลาเลีย ทั้งนี้เพราะยังไม่มีสถานพยาบาลในพื้นที่ ยังคงรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยใช้หมอราษฎร์ หมอสมุนไพร ถ้าป่วยหนักก็ต้องเหมารถไปหาหมอที่อำเภอวานรนิวาส ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ในการเดินทางไปและกลับ
นายอุดม พลแสน เป็นคนบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครและได้นำความเจริญกลับมาสู่ท้องถิ่นดงอีบ่าง และถือว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ควาสามารถและเคยเป็นพระเอกหนัง ผ่านการแสดงมาหลายเรื่อง ได้รับยกย่องจากชาวบ้านให้เป็น “พระเอกหนองหมาว้อ”
พ.ศ. 2526 บ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) ได้รับพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระศรีนครินทราฯ (สมเด็จย่า)ได้เสด็จดำเนินเยี่ยมราษฎร โดยเฮลิคอปเตอร์มายังสนามกีฬาโรงเรียนบ้านหนองแสง เป็นที่ปราบปลื้มและยินดีของราษฎรบ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง)และพื้นที่ใกล้เคียง
ในปีเดียวกันมีสถานบริการสาธารณสุข เรียกว่าสถานบริการสุขภาพชุมชน ให้บริการด้านสาธารณสุขมูลฐานกับหมู่บ้านใกล้เคียง มีการพัฒนาให้ชุมชนมีส้วม พัฒนาระบบสุขอนามัยให้ชุมชนรู้จักรักษาสุขภาพอนามัย
พ.ศ. 2527 บ้านสันติสุข และบ้านสระแก้วได้ตั้งโรงเรียนสาขาขึ้น โดยตั้งชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนบ้านหนองแสง สาขาสันติสุข เปิดทำการเรียนการสอน ป.1 ป.3 ป.5 มีนักเรียน 50 คน
พ.ศ. 2528 นายปิ่น นามศรีถาน ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อจากนายสีทา ประสมศรี
พ.ศ. 2529 โรงเรียนบ้านหนองแสงได้เปิดการเรียนการสอนในระดับก่อนประถมศึกษา ชั้นเด็กเล็กเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง
พ.ศ. 2530 มีการขยายตัวของครัวเรือน อัตราการเพิ่มของประชาชนมีเพิ่มขึ้น ขนาดของหมู่บ้านมีการตั้งบ้านเรือนเพิ่มขึ้นมากว่า 200 หลังคาเรือน เป็นผลทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อสร้างบ้านเรือน บางกลุ่มสร้างบ้านไม้ไว้เพื่อขาย ขายแล้วก็สร้างบ้านหลังใหม่ จึงทำให้ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าลดลงอย่างรวดเร็วและเริ่มหายไปในที่สุด
ยุคที่ 3 วิถีชีวิตและความเจริญ (พ.ศ. 2531-ปัจจุบัน)
พ.ศ. 2531 บ้านหนองแสง(ดงอีบ่าง) ได้แยกหมู่บ้านอกเป็น 2 หมู่บ้าน คือ บ้านหนองแสง (หมู่บ้านเดิม) หมู่ที่ 5 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร มีนายปิ่น นามศรีถาน เป็นผู้ใหญ่บ้าน และบ้านดงอีบ่าง (หมู่บ้านแยกใหม่) หมู่ที่ 9 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร โดยมี นายประดิษฐ์ ภูศรีฤทธิ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ซึ่งประชาชนทั้งสองหมู่บ้านยังคงมีการปฏิบัติกิจกรรมและงานบุญประเพณีต่าง ๆ ร่วมกันอยู่เรื่อยมา
พ.ศ. 2532 มีไฟฟ้าเข้ามาสู่หมู่บ้านทั้งสองหมู่บ้าน ส่งผลให้ความเจริญด้านเทคโนโลยีเริ่มไหลเข้าสู่ชุมชน ความเป็นอยู่และค่านิยมของคนในชุมชนเริ่มเปลี่ยนไป สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทำให้เกิดความขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ รายได้และรายจ่ายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแต่ละครัวเรือน ความเชื่อและประเพณีวัฒนธรรมมีการปรับตัวให้มีความทันสมัยมากขึ้น
พ.ศ. 2533-2539 มีการอพยพย้ายถิ่นสำหรับแรงงานที่เป็นหนุ่มสาวเข้าไปทำงานในกรุงเทพมหานครทำให้ขาดแรงงานในการประกอบอาชีพในท้องถิ่น มีแรงงานที่ไปทำงานต่างจังหวัด ได้แก่ กรรมกรก่อสร้าง รับจ้างกรีดยางพารา ทำธุรกิจส่วนตัว
พ.ศ. 2538 - 2539 โรงเรียนบ้านหนองแสงได้เปิดสอนในระดับ อนุบาล 1 และอนุบาล 2 ตามลำดับ ภาครัฐได้แยกการปกครองให้มีองค์การบริหารส่วนตำบล จึงได้มีการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล(ส.อบต.) หมู่บ้านละ 2 คน สถานบริการสุขภาพชุมชนยกฐานะเป็นสถานีอนามัยบ้านหนองแสง มีรักษาการหัวหน้าสถานีอนามัย คือนายสมจิต แป่มจำนัก
พ.ศ. 2542 โรงเรียนบ้านหนองแสงได้เข้าร่วมโครงการ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา เปิดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมีนักเรียนได้เข้าร่วมในโครงการจำนวนมาก
พ.ศ. 2549 ทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสร้างถนนลาดยางจากชุมชนพอกใหญ่ผ่านบ้านหนองแสงและบ้านดงอีบ่างและสิ้นสุดที่บ้านห้วยหินลาด โรงเรียนบ้านหนองแสง สาขาสันติสุขได้รับการประกาศเป็นโรงเรียนเอกเทศ โดยเปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่ เป็นโรงเรียนบ้านสันติสุขสระแก้ว
พ.ศ. 2550 โรงเรียนบ้านหนองแสง ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นโรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง มีนายวีระศักดิ์ วงศ์อุดมศิลป์ เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน กลุ่มแรงงานบางส่วนกลับมายังหมู่บ้าน มีการพัฒนาพื้นที่เพาะปลูก มีการแผ้วถางและทำลายป่าเป็นจำนวนมากเพื่อทำสวนยางพารา
นายไสว แสงจันทร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านหนองแสงเป็นสมัยที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
พ.ศ. 2552 นายสุพลผิวเหลือง ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านดงอีบ่าง เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่ 2 ต่อจากนายประดิษฐ์ ภูศรีฤทธิ์
พ.ศ. 2554 วิถีชีวิตของชมชนโดยส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพทำนา และยังมีการแบ่งที่นาบางส่วนบุกเบิกเพื่อทำสวนยางพารา เพราะกลุ่มคนที่ทำสวนยางพาราเริ่มมีผลผลิต และสามารถนำมาขายและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ขอบคุณ
บ. บัว หมีคำ สัมภาษณ์โดยยอแสง วันใส 10 กันยายน 2554
บ. สุ่น พรมจรรย์ สัมภาษณ์โดยอดิศร ไชยเทพ 12 กันยายน 2554
บ. ค่าย ล่ามแขก “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. อุดม หมีคำ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสง ดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญถม พลแสน “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญถม มุริจันทร์ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญมา บัวหอม “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญเลี้ยง นาชัย “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญศรี เตคำหัน “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. บุญ อัปมาโท “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. แปลง สมุทไทย “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. สนอง ศรีเทพ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. สมจิต แป่มจำนัก “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. สมใจ ศรีเทพ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสง ดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. สุพล ผิวเหลือง “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. ไสว แสงจันทร์ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. สมจิต แป่มจำนัก “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. อุทัย ศรีเทพ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสง ดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. หล่อ ผิวเหลือง “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสงดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554
บ. อุดม หมีคำ “เรื่องประวัติศาสตร์บ้านหนองแสงดงอีบ่าง” เสวนาประชาคม ณ โรงเรียนบ้านหนองแสง ดงอีบ่าง 13 กันยายน 2554