วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทสวด พุทธาภิถุติง


พุทธาภิถุติง
(หันทะมะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส)
โย โส ตะถาคะโต,     พระตะถาคตเจ้านั้น พระองค์ใด
อะระหะโต               เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุมโธ                   เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชาจะระณะสัมปันโน  เป็นผู้ถึงพร้มด้วยวิชาและจนณะ
สุคะโต          เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกวิทู                   เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ที่สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
สัตถา เทวะมนุส้นัง,    เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ           เป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบานด้วยธรรม
ภะคะวา                            เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
โย อิมัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรัหมะกัง , สัตสะมะณะพรัหม ปะชัง สะเทวะมนุสสัง สะยัง อภิญญา สัจฉิกัตตะวา ปะเวเทสิ,       พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสั่งสอนโลกนีเพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้พ้นทุกษ์
โย ธัมมัง เทเสสิ        พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด , ทรงแสดงธรรมแล้ว
อะทิกัลป์ละยาณัง                ไพเราะในเบื้องต้น
มัชเฌกัลป์ละยาณัง,ไพเราะในท่ามกลาง
ปะริโยสานะกัลป์ละยาณัง,     ไพเราะในที่สุด
สาตถัง สะพะยัญชนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ,
                   ทรงประกาศพรหมจรรย์.
                   คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง
พร้อมทั้งอรรถะ(คำอธิบาย)  พร้อมทั้งพยัญชนะ (หัวข้อ)
ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ,
                   ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ
                   ข้าพเจ้านอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า
                   (กราบระลึกถึงพระพุทธคุณ)

ธัมมาภิถุติง
(หันทะมะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส)
โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตาธัมโม,
          พระธรรมนั้นใด. เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสรู้ไว้ดีแล้ว
สันทิติโก       เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตัวเอง
อะกาลิโก       เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก    เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
โอปะนะยิโก   เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ    เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชยามิ    ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั้น
ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามี          ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้น ด้วยเศียรเกล้า
(กราพระลึกถึงพระธรรมคุณ)

สังฆาภิถุติง
(หันทะมะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส)
โย โส สุปะติปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด , ปฏิบัติดีแล้ว
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด , ปฏิบัติตรงแล้ว
ญายะปำฏิปะนโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด , ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
          สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ,  ปฏิบัติสมควรแล้ว
ยะทิทัง          ได้แก่บุคคลเหล่านี้  คือ
จัตตาริ ปุริสะยุคานิ  อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา,
                   คู่แห่งบรุษ ๔ คู่ , นับยเรียนงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ,
เอสะ  ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,       นั้นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
อาหุเนยโย,    เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมา
ปาหุเนยโย,    เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดให้
ทักขิเนยโย,    เป็นผู้ควรได้รับทักษิณาทาน
อัญชะลิกะละณีโย      เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น
ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ, ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์
ตะมะหัง สังฆัง สิระสานะมามิ. ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้นด้วยเศียรเกล้า.
(กราบรำลึกถึงพระสังฆคุณ)
(นั่งพับเพียบ)

รัตนัตตยัปปณามคาถา
(หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวกะปะริตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส)
พุทโธ  สุสุโท  กะรุณามะหัณณะโว,
พระองค์ใด  มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก,
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป  และอุปกิเลสของโลก
วันทามิ พุธัง อะหะมาพะเลนัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระพุพธเจ้าพระองค์นั้น  โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน,
พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก,
จำแนกประเภทคือ มรรค ผล นิพพาน, ส่วนใด
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน,
ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น
วันทามิ ธัมมังอะหะมาทะเรนะ ตัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
สังโฆ สุเขตตาภะยะติเขตตะสัญญิโต,
พระสงฆ์เป็นนาบุญ  อันยิ่งใหญ่กว่านาบุญทั้งหลาย
โย  ทิฏฐะสันติสุคะตานุโพธะโก,
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน  ตรัสรู้ตามพระสุคต, หมู่ใด
โลลัปปะหีโน  อะริโย  สุเมธะโส,
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล  เป็นพระอริเจ้าผู้มีปัญญาดี
วันทามิ  สังฆัง  อะหะมาทะเรนะ  ตัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น  โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะภัง,  วัตถุตตะยัง    วันทะยาตภิสังขะตัง,
มะยา  ยัง  มะมะ  สัพพุปัททะวา, มา  โหนตุ  เว  ตัสสะ  ปะภาวะสิทธิยา,
บุญใด  ที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุ  ๓,
คือ  พระรัตนตรัย  ควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว
ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้  นี้  ขออุปัททะวะ (ความชั่ว)  ทั้งหลาย
จงอย่ามีแต่ข้าพเจ้าเลย  ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น

สังเวคประกิตตนปาฐัญจะ
อะ  ตะถาคะโต  โลเก  อุปปันโน,
พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้ว  ในโลกนี้
อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ,
เป็นผู้ไกลจากกิเลส  ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
ธัมโม  จะ  เทสิโต  นิยยานิโก,
และพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเครื่องจากทุกข์
อุปปะสะมิโก  ปะรินิพพานิโก,
เป็นเครื่องสงบกิเลส  เป็นไปเพื่อปรินิพาน
สัมโพธะคามี  สุคะตัปปะเวทิโต,
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม  เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
มะยันตัง  ธัมมัง  สุตตะวา  เอวัง  ชานามะ,
พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว  จึงได้อย่างนี้ว่า
ชาติปิทุกขา,            แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์
ชะราปิ,                             แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์
มะระณัมปิ  ทุกขัง,     แม้ความตายก็เป็นทุกข์
โลกะปะริเทวะทุกขะ  โทมะนัสสุปายาสาปิ  ทุกขา,
แม้ความโศก  ความร่ำไรรำพัน  ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
อ้ปปิเยหิ  สัมปะโยโค  ทุกโข,
ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
ปิเยหิ  วิปปะโยโค  ทุกโข 
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง  นะ  ละภะติ  ทุกขัง,
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น  นั่นก็เป็นทุกข์
สังขิตเตนะ  ปัญจุปาทานักขันธา  ทุกขา,  ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง  ๕  เป็นตัวทุกข์
เสยยะถีทัง,                        ได้แก่  สิ่งเหล่านี้  คือ
รูปูปาทานักขันโธ,                ขันธ์  อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  คือ  รูป
เวทะนูปาทานักขันโธ,           ขันธ์  อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  คือ เวทนา
สัญนูปาทานักขันโธ,            ขันธ์  อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  คือ  สัญญา
สังขารูปาทานักขันโธ,           ขันธ์  อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  คือ  สังขาร
วิญญาณูปาทานักขันโธ,                 ขันธ์  อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  คือ  วิญญาณ
เยสัง  ปะริญญายะ,               เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง
ธะระมาโน  โส  ภะคะวา,                จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  เมื่อยังพระชนม์อยู่
เอวะ  พะหุลัง  สาวะเก  วิเนติ,         ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย  เช่นนี้เป็นส่วนมาก
เอวัง  ภาคา  จะ ปะนัสสะ  ภะคะวะโต  สาวะเกสุ  อะนุสาสะนี  พะหุลา  ปะวัตตะติ,
อนึ่ง  คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  ย่อมเป็นเป็นไปในสาวกทั้งหลายส่วนมาก
มีส่วนคือการจำแนกนี้ว่า
รู  ปังอนิจจัง,                     รูปไม่เที่ยง
เวทะนา  อะนิจจา,                            เวทนาไม่เที่ยง
สัญญา  อะนิจจา,                สัญญาไม่เที่ยง
สังขารา  อะนิจจา,              สังขารไม่เที่ยง
วิญญาณัง  อะนิจจา,            วิญญาณไม่เที่ยง
รูปัง  อะนัตตา,                   รูปไม่ใช่ตัวตน
สัญญา  อะนัตตา,               สัญญาไม่ใช่ตัวตน
สังขารา  อะนัตตา,              สังขารไม่ใช่ตัวตน                                           
วิญญาณัง อะนัตตา,            วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
สัพเพ  สังขารา  อะนิจจา,     สังขารทั้งหลายทั้งปวง   ไม่เที่ยง
สัพเพ  ธัมมา  อะนัตตา,       ธรรมทั้งหลายทั้งปวง  ไม่ใช่ตัวตน  ดังนี้
เต(ตา)มะยัง  โอติณณามะหะ,         พวกเราทั้งหลาย  เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว
ชาติยา,                            โดยความเกิด
ชารามานะระเณนะ,              โดยความแก่และความตาย
โสเกหิ  ปะริเทเวหิ  ทุกเขหิ  โทมะนัสเสหิ  อุปายาเสหิ,
โดยความโศก  ความร่ำไรรำพัน  ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจความคับแค้นทั้งหลาย
ทุกโขติณณา,                    เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
ทุกขะปาเรตา,                    เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
อัปเปวะนะมิมัสสะ  เกวะลัสสะ  ทุกขักขันธัสสะ  อันตะกิริยาปัญญาเยถาติ,
ทำไฉน  การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้    จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้
(สำหรับพระภิกษุ-สามเณรสวด)
จิระปารินิพพุตัมปิ  ตัง  ภะคะวันตัง  อุททิสสะ  อะระหันตัง  สัมมาสัมพุทธัง,
เราทั้งหลาย  อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
แม้ปรินิพพานแล้ว  พระองค์นั้น
สัทธา  อะคารัสสะมา  อะนะคาริยัง  ปัพพะชิตา,
เป็นผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน  ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว
ตัสสะมิง  ภะคะวะติ  พรัหมะจะริยัง  จะรามะ,
ประพฤติอยู่ซึ่งพรมจรรย์  ในพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ภิกขูนัง  สิกขาสาชีวะสะมาปันนา,
ถึงพร้อมด้วยสิกขา  และธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต  ของภิกษุทั้งหลาย
ตัง  โน  พรัหมะจะริยัง  อิมัสสะ เกวะลัสสะ  ทุกขักขันธัสสะ  อันตะกิริยายะ  สังวัตตะตุ,
ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งลาย
จะเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เทอญ

(สำหรับอุบาสกอุบาสิกา)
จิระปะนิพพุตัมปิ  ตัง  ภะคะวันตัง  สะระณัง  คะตา,
เราทั้งหลายผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้ปรินิพพานแล้วพระองค์เป็นสารณะ
ธัมมัญจะ  สังฆัญจะ,
ถึงพระธรรมด้วย  ถึงพระสงฆ์ด้วย
ตัสสะ  ภะคะวะโต  สาละนัง  ยะถาสะติ  ยะถาพะลัง  มะนะสิกะโรมะ  อะนุปฏิ  ปัชชามะ,
จักทำในใจอยู่  ปฏิบัติตามอยู่  ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตามสติกำลัง
สา สาโน  ปะฏิปัตติ,
ขอให้การปฏิบัตินั้น ๆ ของเขาทั้งหลาย
อิมัสสะ  เกวะลัสสะ  ทุกขักขันธัสสะ  อันตะกิริยายะ  สังวัตตะตุ,
จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เทอญ

(จบทำวัตรเช้า)
ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
(หันทะ  มะยัง  ตังขะณิกะปัจจะเวกขะณะปาฐัง  ภะณามะ  เส)
พิจารณาจีวร
ปะฏิสังขา  โยนิโส  จีวะรัง  ปะฏิเสวามิ,
เราย่อมพิจรณาโดยแยบคายแล้ว  นุ่งห่มจีวร
ยาวะเทวะ  สีตัสสะ  ปะฏิฆาตายะ,              เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
อุณหัสสะ  ปาฏิฆาตายะ,                          เพื่อบำบัดความร้อน
ฑังสะกะมะ  สะวาตาตะ  ปะสิริงสะปะ  สัมผัสสานัง  ปาฏิฆาตายะ,
เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ  ยุง  ลม  แดด  และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ  หิริโกปินะปะฏิจฉาทะนัตถัง,
และเพียงเพื่อปกปิดอวัยวะ  อันให้เกิดความละอาย

พิจารณาอาหาร
ปะฏิสังขา  โยนิโส  ปิณฑะปาตัง  ปะฏิเสวามิ,
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว  ฉันบิณฑบาต
เนวะ  ทะวายะ,                   ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน
นะ  มะทายะ,                     ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามันอันเกิดกำลังพลังทางกาย
นะ  มัณฑะนายะ,                ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ
นะ  วิภูสะนายะ,                  ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง
ยาวะเทวะ  อิมัสสะ  กายัสสะ  ฐิติยา,
แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้
ยาปะนายะ,                        เพื่อความเป็ไปได้ของอัตภาพ
วิหิงสุปะระติยา,                  เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย
พรัหมะจะริยานุคคะหายะ,      เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์
อิติ  ปุรานัญจะ  เวทะนัง  ปะฏิหังขามิ,
ด้วยการทำอย่างนี้  เราย่อมระงับเสียได้  ซึ่งทุกขเวทนาเก่าคือความหิว
นะวัญจะ  เวทะนัง  นะ  อุปปาเทสสามิ,        และไม่ทำเวทนาใหม่ห้เกิดขึ้น
อนึ่งความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย  ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย 
และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย  จักมีแต่เราดังนี้

พิจารณาที่อยู่อาศัย
ปะฏิสังขา  โยนิโส  เสนาสะนัง  ปะฏิเสวามิ,
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วใช้สอยเสนาสะนะ
ยายะเทวะ  สีตัสสะ  ปะฏิฆาตายะ,                        เพียงเพื่อบำบัดความหนาว
อุณหัสสะ  ปาฏิฆาตายะ,                          เพื่อบำบัดความร้อน
ฑังสะกะมะ  สะวาตาตะ  ปะสิริงสะปะ  สัมผัสสานัง  ปาฏิฆาตายะ,
เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ  ยุง  ลม  แดด  และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ  อุตุปะริสสะยะวิโนทานัง  ปะฏิสัลลานารามัตถัง,
เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ
และเพื่อความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา
พิจารณายารักษาโรค
ปะฏิสังขา  โยนิโส  คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง  ปะฏิเสวามิ,
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วบริโภคเภสัชบริขาร  อันเกื้อกูลแก่คนไข้
ยาวะเทวะ  อปปันนานัง  เวยยพาธิกานัง  เวทะทานัง  ปะฏิฆาตายะ,
เพียงเพื่อบำบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแล้ว  มีอาพาธต่าง ๆเป็นมูล
อัพพะยาปัชฌะปะระมะตายาติ
เพื่อความเป็นผู้ไม่มีโรคเบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง  ดังนี้

ธาตุปัจจเวกขณปาฐะ
(หันทะ  มะยัง  ธาตุปะฏิกูละปัจจะเวกขะณะปาฐัง  ภะณามะ  เส
พิจารณาจีวร
ยะถาปัจจะยัง  ปะวัตตะมานัง  ธาตุมัตตะเมวเวตัง
สิ่งเหล่านี้  นี่เป็นสักว่าธาตุธรรมชาติเท่านั้น
กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์
ยะทิทัง  จีวะรัง  ตะทะภุญชะโก  จะ  ปุคคะโล,
สิ่งเหล่านี้  คืด  จีวร  และคนผู้ใช้สอยจีวรนั้น
ธาตุมัตตะโก,                     เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ
นิสสัตโต,                          มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน
นิชชีโว,                            มิใช่ชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ,                            ว่างเปล่าจากความมีความหมายแห่งความเป็นตัวตน
สัพพานิ  ปะนะ  อิมานิ  จีวะรานิ  อะชิคุจฉนียานิ,
จีวรทั้งหมดนี้  ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม
อิมัง  ปูติกานัง  ปัตตะวา,      ครั้นมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว
อะติวิยะชิคุจฉะนียานิ  ชายันติ,         ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
พิจารณาอาหาร
ยะถา  ปัจจะยังปะวัตตะมานัง  ธาตุมัตตะเมเวตัง
สิ่งเหล่านี้  นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น
กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ
ยะทิทัง  ปิณฑะปาโต  ตะทุปะภุญชะโก    จะปุคคะโล
สิ่งเหล่านี้คือ  อาหารบิณฑบาต  และคนผู้บริโภคอาหารบิณฑบาตนั้น
ธาตุมัตตะโก,                     เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ
นิสสัตโต,                          มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน
นิชชโว,                            มิใช่ชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโภ,                             ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความมีตัวตน
สัพโพปะนายัง  ปิณฑะปาโต  อะชิคุจชะนีโย,
สิ่งเหล่านี้  นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น
กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ
ยะทิทัง  เสนาสะนัง  ตะทุปะภุญชะโก 
สิ่งเหล่านี้  คือ  เสนาสนะและคนใช้สอยเสนาสนะนั้น
ธาตุมัตตะโก,                     เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ
นิสสัตโต,                          มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน
นิชชโว,                            มิใช่ชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ,                            ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความมีตัวตน
สัพพานิ  ปะนะ  อิมานิ  เสนาสะนามิ  อะชิคุจฉะนียานิ,
ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้  ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม
อิมัง  ปูติกายัง  ปัตตะวา,      ครั้นมาถูกเข้ากับกายเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว
อะติวิยะ  ชิคุจฉะนียานิ  ชายันติ,       ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
พิจารณายารักษาโรค
ยะถา  ปัจจะยังปะวัตตะมานัง  ธาตุมัตตะเมเวตัง
สิ่งเหล่านี้  นี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น
กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ
ยะทิทัง  คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร  ตะทุปะภุญชะโก  จะ  ปุคคะโล
สิ่งเหล่านี้   คือ  เภสัชบริขารอันเกื้อกูลแก่คนไข้  และผู้บริโภคเภสัชบริขาร
ธาตุมัตตะโก,                     เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ
นิสสัตโต,                          มิได้เป็นสัตวะอันยั่งยืน
นิชชโว,                            มิใช่ชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ,                            ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความมีตัวตน
สัพโพ  ปะนานัง  คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร  อะชิคุจฉะนีโย,
ก็คิลานะเภสัชบริขารทั้งหมดนี้  ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม
อิมัง  ปูติกานัง  ปัตตะวา,      ครั้นมาถูกเข้ากับกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้ว
อะติวิยะ  ชิคุจฉะนีโย  ชายันติ,         ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกันดังนี้




ทำวัตรเย็น
คำบูชาพระรัตนตรัย
อินิมา  สักกาเรนะ  ตังพุธัง  อะภิปูชะยามะ,
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอบูชาอย่างยิ่ง  ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้
อินิมา  สักกาเรนะ  ตังธัมมัง  อภิปูชะยามะ,
ข้าพเจ้าทั้งหลาย  ขอบูชาอย่างยิ่ง  ซึ่งพระธรรมนั้น
ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้
อินิมา    สักกาเรนะ  สังฆัง  อภิปูชะยามะ,
ข้าพเจ้าทั้งหลาย  ขอบูชาอย่างยิ่ง  ซึ่งพระสงฆ์หมู่นั้น
ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้
คำไหว้พระรัตนตรัย
อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา,
พระผู้มีพระภาคเจ้า  เป็นพระอรหันต์  ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกสิ้นเชิง  ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
พุทธัง  ภะคะวันตัง  อภิวาเทมิ,
ข้าพเจ้าอภิวาท  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน  (กราบ)
สะวากขาโต  ภะคะตา  ธัมโม,
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสไว้ดีแล้ว
ธัมมัง  นะมัสสามิ,
ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม  (กราบ)
สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ,
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ปฏิบัติดีแล้ว
สังฆัง  นะมามิ,
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์  (กราบ)
(ปุพพภาคนมการ)
หันทะ  มะยัง  พุทธัสสะ  ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง  กะโรมะเส,
นะโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต,     ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า  พระองค์นั้น
อะระหะโต,                        ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทธัสสะ,              ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
(ว่า  ๓  ครั้ง)
พุทธานุสสติ
(หันทะ  มะยัง  พุทธานุสสะตินะยัง  กะโรมะ  เส)
ตัง  โข ปะนะ  ภะคะวันตัง  เอวัง  กัลป์ละยาโนกิตติสัทโท  อัพภุคคะโต,
ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  ได้ฟุ้งไปแล้งอย่างนี้ว่า
อิติปิ  โส  ภะคะวา,              เพราเหตุอย่างนี้ๆพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อะระหัง,                           เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ,                  เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน,        เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ
สุคะโต,                            เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกะวิทู,                                    เป็นผู้รู้อย่างแจ่มแจ้ง
อะนุตตะโร  ปุริสะทัมมะสาระถิ,         เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
สัตถา  เทวะมะนุสสานัง,       เป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ,                             เป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน  ด้วยธรรม
ภะคะวาติ,                         เป็นผู้มีความจำเริญ  จำแนกธรรมสั่งสอนดังนี้

พุทธาภิคีติง
(หันทะ  มะยัง  พุทธาภิคีติง  กะโรมะ  เส)
พุทธามะหันตะวาระตาทิคุณาภิยุตโต,
พระพุทธเจ้าประด้วยคุณ  มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณ  เป็นต้น
สุทธาภิญาณะกรุณาหิ  สะมาคะตัตโต,
มีพระองค์อันประกอบด้วยพระญาณ  และพระกรุณาอันบริสุทธิ์
โพเธสิ  โย  สุชะนะตัง  กะมะลังวะ  สูโร,
พระองค์ใด  ทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบาน  ดุจอาทิตย์ทำบัวให้บาน
วันทามะหัง  ตะมะระณัง  สิระสา  ชิเนนทัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์  ผู้ไม่มีกิเลสพระองค์นั้น  ด้วยเศียรเกล้า
พุทโธ  โย  สัพพะปาณีนัง  สะระณัง  เขมะมุตตะมัง,
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด  เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง  วันทามิ  ตัง  สิเรนะหัง,
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น  อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่หนึ่ง  ด้วยเศียรเกล้า
พุทธัสสาหัสสะมิ  ทาโส  (ทาสี)  วะ  พุทโธ  เม  สามิกิสสะโร,
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าเป็นนาย  มีอิสระเหนือข้าพเจ้า
พุทโธ  กขัสสะ  ฆาตา  จะ  วิธาตา  จะ  หิ ตัสสะ  เม,
พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์  และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า

พุทธัสสาหัง  นิยยาเทมิ  สะรีรัญชีวิตัญจิทัง,
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า
วันทันโตหัง  (ตีหัง)  จะริสสามิ  พุทธัสเสวะ  สุโพธิตัง,
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม  ซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
นัตถิ  เม  สะระณัง  อัญญัง  พุทโธ  เม  สะระณัง  วะรัง,
สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี  พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ  สัจจะวัชเชนะ  วัฑเตเยยัง  สัตถุ  สาสะเน,
ด้วยการกล่าวคำสัจจ์นี้  ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
พุทธัง  เม  วันทะมาเนนะ  (มานายะ)  ยัง  ปุญญัง  ปะสุตัง  อิธะ,
ข้าพเจ้าผู้ไหว้ซึ่งพระพุทธเจ้า  ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ  อันตะรายา  เม  มาเหสุง  ตัสสะ  เตชะสา,
อันตรายทั้งปวง  อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า  ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
(หมอบกราบลงว่า)
กาเยนะ  วาจายะ  วะเจตะสา  วา,
ด้วยกายก็ดี  ด้วยวาจาก็ดี  ด้วยใจก็ดี
พุทเธ  กุกัมมัง  ปะกะตัง  มะยา  ยัง,
กรรมน่าติเตียนอันใด  ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้วในพระพุทธเจ้า
พุทโธ  ปะฏิคคัณหะตุ  อัจจะยันตัง,
ขอพระพุทธเจ้า  จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น
กาลันตะเร  สังวะริตุง  วะ  พุทเธ,
เพื่อการสำรวมระวัง  ในพระพุทธเจ้าในการต่อไป
(นั่งคุกเข่า)
ธัมมานุสสติ
(หันทะ  มะยัง  ธัมมานุสสะตินะยัง  กะโรมะ  เส)
สะวากขา  โตภะคะวะตา  ธัมโม,                พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
สันทิฏฐิโก,                                           เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ  พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อะกาลิโก,                                            เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้  และให้ผลได้  ไม่จำกัดกาล
เอหิปัสสิโก,                                          เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า  ท่านจงมาดูเถิด
เอปะนะยิโก,                                         เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหี  ติ                เป็นสิ่งที่ผู้รู้  ก็รู้ได้เฉพาะตน  ดังนี้
หมายเหตุ      หีติ  สวดออกเสียง  ฮีติ




 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น